วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Tense

t
         Learning log out class          
Tense
Tense คือ รูปของคำกริยาที่บอกเวลาของการกระทำ ในภาษาอังกฤษการกระทำที่เกิดขึ้นในเวลาที่แตกต่างกันจะใช้รูปของคำกริยาที่แตกต่างกัน เช่น
1. I am playing football now. (
ฉันกำลังเล่นฟุตบอล )
2. I played football yesterday. (
ฉันเล่นฟุตบอลเมื่อวานนี้ )
ในประโยคที่ 1 รูปของคำกริยาคือ am playing บอกให้รู้ว่าการเล่นฟุตบอลกำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดประโยคนี้ออกมา
ในประโยคที่ 2 รูปของคำกริยาคือ played บอกให้รู้ว่าการเล่นฟุตบอลเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
1.2
ชนิดของ Tense
Tense
แบ่งออกเป็น 3 ชนิดใหญ่ คือ

1. Present Tense
ใช้กับการกระทำที่เป็นปัจจุบัน
2. Past Tense
ใช้กับการกระทำที่เป็นอดีต
3. Future Tense
ใช้กับการกระทำที่เป็นอนาคต
แต่ละ Tense ใหญ่แบ่งออกเป็น 4 Tense ย่อย จึงมีทั้งหมด 12 Tense ดังนี้
1.3
โครงสร้างของ Tenseทั้ง 12 Tense ย่อยมีโครงสร้างของประโยคดังนี้
Present Tense
1. Present Simple Tense                    S + V.1
2. Present Progressive Tense           S + is ,am , are + V.1
เติม ing
3. Present Perfect Tense                   S + have , has + V.3
4. Present Perfect Progressive Tense   S + have , has + been + V.1
เติม
ing
 Past Tense
 1. Past Simple Tense                         S + V.2
 2. Past Progressive Tense                 S + was , were + V.1
เติม ing
 3. Past Perfect Tense                         S + had + V.3
 4. Past Perfect Progressive Tense   S + had + been + V.1
เติม
ing
 Future Tense 
  1. Future Simple Tense                        S + will , shall +V.1
  2. Future Progressive Tense              S + will, shall + be + V.1
เติม
ing
  3. Future Perfect Tense                       S + will , shall + have , has + V.3
  4. Future Perfect Progressive Tense   S +will , shall + have + been + V.1
เติม
ing
  
 
Present Simple Tense
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Present Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม ทำได้ด้วยการนำ do หรือ does มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้ โครงสร้าง: Do / Does + Subject + Verb 1? (Do / Does + ประธาน + กริยาช่องที่ 1) ตัวอย่าง:
1. Does he walk to school? (
เขาเดินไปโรงเรียนใช่หรือไม่)
-Yes, he does. (
ใช่ เขาเดินไปโรงเรียน) /
No, he doesn’t. (
ไม่ใช่ เขาไม่ได้เดินไปโรงเรียน )

ประโยค Present Simple Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Present Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้ Verb to do
 มาช่วย มีหลักการใช้ดังนี้  
do
ใช้กับประธานพหูพจน์ และ I กับ you
does
ใช้กับประธานเอกพจน์ ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง:        Subject + do / does + not + Verb 1
(
ประธาน + do / does + not + กริยาช่องที่ 1)ตัวอย่าง:
1. I do not (don’t) go to school by car. (
ฉันไม่ไปโรงเรียนโดยรถยนต์)
2. He does not (doesn’t) walk to school. (
เขาไม่เดินไปโรงเรียน)

หลักการใช้ Present Simple Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นความจริงตลอดไปหรือเป็นความจริงตามธรรมชาติ เช่น 
1.The sun rises in the east.( พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก )
2. Fire is hot. (
ไฟร้อน)
Present Progressive Tense
ประโยค Present Progressive Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง:   Subject + is, am, are + Verb 1 ing.
              (
ประธาน + is, am, are + กริยาช่อง 1 เติม ing.) ตัวอย่าง:

       1. Somchai is sleeping. (
สมชายกำลังนอนหลับ)
       2. I am playing football. (
ฉัน กำลังเล่น ฟุตบอล)
ประโยค Present Progressive Tense เชิงคำถามและการตอบ
       เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to be มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Is, Am, Are + Subject + Verb 1 ing. ? (Is, Am, Are +ประธาน + V.1 เติม ing?) ตัวอย่าง:
       1. Is Somchai sleeping? (
สมชายกำลังนอนหลับใช่หรือไม่)
          -Yes, he is. (
ใช่ เขากำลังนอนหลับ) / No, he isn’t. (ไม่เขาไม่ได้กำลังนอนหลับ)
หลักการใช้ Present Progressive Tense
1. ใช้กับการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด เช่น
       1.1 I am studying English. (
ฉันกำลังเรียนภาษาอังกฤษ)

       1.2 Somchai is sleeping. (
สมชายกำลังนอนหลับ)                             

       1.3 They are watching TV. (
พวกเขากำลังดูโทรทัศน์)

Present Perfect Tenseประโยค Present Perfect Tense เชิงบอกเล่า
( ประธาน + have , has + กริยาช่อง 3 ) ตัวอย่าง :
1. I have studied English for 5 years.(
ฉันเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว )

2. He has lived in Bangkok since 1990.(
เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )
ประโยค Present Perfect Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
( ประธาน + have , has + not + กริยาช่อง 3 )  ตัวอย่าง :
1. I have not studied English for 5 years.(
ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง 5 ปี )

2. He has not lived in Bangkok since 1990.(
เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )
ประโยค  Present Perfect Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to have มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
(Have, Has + ประธาน + กริยาช่อง 3 ? ) ตัวอย่าง :
1.Have you studied English for 5 years ?(
คุณเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้วใช่หรือไม่
)
-Yes, I have. (
ใช่ ฉันเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว )

-No, I haven’t. (
ไม่ ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง 5 ปี )
2. Has he lived in Bangkok since 1990 ?(
เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 ใช่หรือไม่ )
-Yes, he has. (
ใช่ เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ.
1990 )
-No, he hasn’t. (
ไม่ เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )หลักการใช้ Present Perfect Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และเหตุการณ์นั้นยังคงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เช่น
Somchai has studied English for 5 years. (
สมชายเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว ขณะนี้ก็ยังเรียนอยู่ )
I have worked in this company since 1990. (
ฉันทำงานในบริษัทนี้ตั้งแต่ปี 1990 ขณะนี้ก็ยังทำอยู่ )

2.
ใช้กับเหตุการณ์ที่เคยหรือไม่เคยทำในอดีต ซึ่งมิได้บ่งบอกเวลาที่แน่นอนเอาไว้ และมักจะมีคำวิเศษณ์ คือ ever, never, once, twice มาใช้ร่วมเสมอ เช่น

- I have never seen him before. (
ฉันไม่เคยเห็นเข้ามาก่อน )
- Have you ever been abroad ?(
คุณเคยไปต่างประเทศหรือเปล่า )
- She has been to Bangkok twice. (
หล่อนเคยไปกรุงเทพฯ 2 ครั้ง )
 Present Perfect Progressive Tense
 ประโยค Present Perfect Progressive Tense เชิงบอกเล่า                     
โครงสร้าง: Subject + have, has + been + V.1 ing
(
ประธาน + have, has + been + V.1 เติม ing)ตัวอย่าง:

1. He has been speaking for 3 hours. (
เขาพูดมา 3 ชั่วโมงแล้ว)
ประโยค Present Perfect Progressive Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to have มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Have, has + Subject +been + Verb 1 ing?
(Have, Has +
ประธาน + been + กริยาช่อง 1 เติม ing?)ตัวอย่าง:

1. Has he been speaking for 3 hours? (
เขาพูดมาตลอด 3 ชั่วโมงใช่หรือไม่)

-Yes, he has. (
ใช่ เขาพูดมาตลอด 3 ชั่วโมง) /
No, he hasn’t. (
ไม่ เขาพูดมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง)
ประโยค Present Perfect Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Subject + have, has + not + been + Verb 1 ing
  (
ประธาน+have, has + not + been+ กริยาช่อง 1 เติม ing)ตัวอย่าง:
       1. He has not been speaking for 3 hours. (เขาพูดมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง)
หลักการใช้ Present Perfect Progressive Tense
1. ใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต (Present Perfect Progressive Tense ใช้เหมือน Present Perfect Tense ต่างกันแต่เพียงว่า Present Perfect Progressive Tense เน้นความต่อเนื่องไปถึงอนาคต)
Past Simple Tense
หลักการใช้ Past Simple Tense
ใช้เมื่อการกระทำ และสถานภาพ นั้นเกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลงแล้วในอดีต
I went to Bangkok yesterday.
I played football 2 years ago.
ประโยคปฏิเสธและประโยคคำถามมีกริยาช่วยที่ใช้คือ
และกริยาแท้ต้องกลับมาเป็นกริยาช่องที่ 1
I did not go to Bangkok yesterday.
Did you go To Bangkok yesterday?
คำแสดง Past Simple Tenseมีดังนี้ ago, last week, last month, last year, yesterday , last night
a long time , the day before yesterday
หมายเหตุ กริยาที่เปลี่ยนจากช่องที่ 1 เป็นช่องที่ 2โดยการเติม "ed"เราเรียกว่ากริยาปกติ(regular verbs)ส่วนกริยาอปกติ(Irregular Verbs) คือกริยาที่มีการเปลี่ยนรูป
หลักการเติม-ed ที่กริยา
1.
เติมedในกริยาช่องที่ 1
open-opened
check-checked
2.
ถ้ากริยาช่องที่1ลงท้ายด้วย e อยู่แล้วให้เติมเพียง
d
like-liked
love-loved
3.
ถ้ากริยาช่องที่ 1ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน yเป็น iแล้วเติม
ed
try-tried
carry-carried
4.
ถ้ากริยาช่องที่ 1ลงท้ายด้วยy แต่หน้า yเป็นสระ ให้เติม ed ได้ทันที

play-played
stay-stayed
5.
ถ้ากริยาช่องที่ 1มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว ลงท้ายด้วย
พยัญชนะตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะอีก 1ตัวก่อนเติมed
fit-fitted
beg-begged
6.
ถ้ากริยาช่องที่ 1 มี 2 พยางค์ ถ้าเสียงหนักที่พยางค์หลังที่มีสระและ

พยัญชนะตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะอีก 1 ตัว ก่อนเติมed
admit-admittedprefer-preferred

ถ้าเสียงหนักที่พยางค์หน้าเติม ed ได้เลย                                                                                 
limit-limited
offer-offered
 Past Progressive Tense
ประโยค Past Progressive Tense เชิงบอกเล่า                     
โครงสร้าง: Subject + was, were + V.1 ing (ประธาน + was, were + กริยาช่องที่ 1 เติม ing)ตัวอย่าง:
1. I was playing football at 4 pm. yesterday.
(
ฉันกำลังเล่นฟุตบอลตอน 4 โมงเย็นเมื่อวานนี้)

2. She was watching TV at 6 pm. yesterday.
       (หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นเมื่อวานนี้)
ประโยค Past Progressive Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to be มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Was, were + Subject + Verb 1 ing?
(Was, Were +
ประธาน + กริยาช่อง 1 เติม ing?) ตัวอย่าง:

1. Was she watching TV at 6 pm. yesterday?
(
หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นวานนี้ใช่หรือไม่)

- Yes, she was. (
ใช่หล่อนกำลังดูโทรทัศน์) /No, she wasn’t (ไม่หล่อนไม่ได้กำลังดูโทรทัศน์)


ประโยค Past Progressive Tense เชิงปฏิเสธ


เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้นำ not มาเติมหลัง Verb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Subject + was, were + not + Verb1 ing.
        (
ประธาน + was, were + not + กริยาช่องที่ 1 เติม ing)ตัวอย่าง:

       1. I was not (wasn’t) playing football at 4 pm. yesterday.
       (
ฉันกำลังเล่นฟุตบอลตอน 4 โมงเย็นวานนี้)

       2. She was not watching TV at 6 pm. yesterday.
       (
หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นเมื่อวานนี้)


หลักการใช้ Past Progressive Tense


1. ใช้กับเหตุการณ์ทีกำลังเกิดขึ้น ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีตตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น
       - I was cleaning my room at 9 o’clock yesterday.
       (
ฉันกำลังทำความสะอาดห้องตอน 9 โมงเมื่อวานนี้)

       - They were reading newspaper at 8 o’clock yesterday.
       (
เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ตอน 8 โมงเมื่อวานนี้)
 Past Perfect Tense
โครงสร้าง = had + กริยาช่อง 3
1.ใช้คู่กับ past simple ใน 2 เหตุการณ์อดีต คือ เหตุการณ์หนึ่งเกิดก่อนและเสร็จเรียบร้อยแล้วในอดีตใช้ past perfectถ้ากำลังดำเนินอยู่ใช้ past continuous ดังกล่าวมาแล้ว และมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นภายหลังใช้ past simple tense สังเกตจากตัวเชื่อม before,after,when เช่น
    -The results of the final examination were better than he had expected
    -My teacher arrived after I had waited for ten minutes
    -The dog had killed the cat before we could save it.
    -I had heard nothing of what happened until you told me.
   2.ใช้แทน present perfect ในการเปลี่ยน direct speech ให้เป็น indirect speech เช่น       -Tom said , "I have finished my work."
          =Tom said that he had finished his work.
   3.ใช้กับ if-clause แบบ3คือ if-ciause เป็น past paefect ,main - clause เป็น future perfect in the past เช่น
      -I could have lent you some money if I hadn't spent everything.
  Past Perfect Progressive Tense
ประโยค Past Perfect Progressive Tense เชิงบอกเล่า                   
โครงสร้าง: Subject + had + been + V.1 ing (ประธาน + had + been + กริยาช่อง 1 เติม ing)ตัวอย่าง: 1. They had been playing football for three hours.
(
เขาทั้งหลายได้เล่นฟุตบอลโดยไม่หยุดมา3 ชั่วโมงแล้ว)

2. It had been raining for five hours.
(
ฝนได้ตกโดยไม่หยุดมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้ว)
ประโยค Past Perfect Progressive Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถาม ให้นำ Verb to have มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง:      Had + Subject + been + Verb 1 ing?
(Had +
ประธาน + been + กริยาช่อง 1 เติม ing?)ตัวอย่าง: 

1. Has they been playing football for three hours?
(
เขาทั้งหลายได้เล่นฟุตบอลมาตลอด 3 ชั่วโมงใช่หรือไม่)

-Yes, they had. (
ใช่ เขาทั้งหลายเล่นมา 3 ชั่วโมงแล้ว) / No, they hadn’t. (ไม่ เขาทั้งหลายเล่นมาไม่ถึง )
       


ประโยค Past Perfect Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ
ให้เติม not หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง:  Subject + had + not + been + V.1 ing
              (
ประธาน + had + not + been + กริยาช่อง 1 เติม ing )ตัวอย่าง:

1. They had not (hadn’t) been playing football for three hours.
(เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง) หลักการใช้ Past Perfect Progressive Tense


1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุดลงไปแล้วทั้ง
2 เหตุการณ์ ดังนี้    - เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Past Perfect Progressive Tense
-
เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้ Past Simple Tense เช่น

1. He had been sleeping for 30 minutes before we woke him up.
(
เขาได้นอนหลับมา 30 นาทีก่อนที่เราจะปลุกเขา)
Future Simple Tense
ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงบอกเล่า โครงสร้าง: Subject + will, shall + have + been + V.1 ing
(
ประธาน+ will shall +have +been + กริยาช่อง 1 เติม ing) ตัวอย่าง: 1.She will have been playing tennis. (หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่)

2. They will have been cooking. (
เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารอยู่)
ประโยค Future Simple Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Simple Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง:      Will, Shall + Subject + verb 1? (Will, Shall + ประธาน + กริยาช่อง 1?)
ตัวอย่าง: 1.Shall you go to Chiang mai tomorrow? (คุณจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่)
              - Yes, I shall. (
ใช่ฉันจะไป) /
                No, I shan’t. (
ไม่ฉันจะไม่ไป)
ประโยค Future Simple Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Subject + will, shall + not + V.1 (ประธาน + will, shall + not + กริยาช่อง 1)ตัวอย่าง: 1. I shall not (shan’t) go to Chiang mai tomorrow.
              (
ฉันจะไม่ไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้)


หลักการใช้ Future Simple Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น
- My father will go to America next month. (
พ่อของฉันจะไปอเมริกาเดือนหน้า)

- I shall play football tomorrow afternoon. (
ฉันจะเล่นฟุตบอลบ่ายวันพรุ่งนี้)

                                                                                                                                                                                           Future Progressive Tense ประโยค Future Progressive Tense เชิงบอกเล่า                
โครงสร้าง:  Subject + will, shall + be + V.1 ing
(
ประธาน + will, shall + be + กริยาช่อง 1 เติม ing)ตัวอย่าง: 1. She will be playing tennis.

( หล่อนจะกำลังเล่นเทนนิสอยู่ )
2. They will be cooking.(
เขาทั้งหลายจะกำลังทำอาหารอยู่ )


ประโยค Future Progressive Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง:  Will, Shall + Subject + be + verb 1 ing?
(Will, Shall +
ประธาน + be + กริยาช่อง 1 เติม ing?)ตัวอย่าง: 1. Will she be playing tennis? (หล่อนจะกำลังเล่นเทนนิสอยู่ใช่หรือไม่)

- Yes, she will. (
ใช่ หล่อนจะเล่นอยู่) /
No, she won’t. (
ไม่ หล่อนจะไม่เล่นอยู่)


ประโยค Future Progressive Tense เชิงปฏิเสธ


เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง:  Subject + will, shall + not + be + V.1 ing
            (
ประธาน + will, shall + not + be + กริยาช่อง 1 เติม ing)ตัวอย่าง:

1. She will not (won’t) be playing tennis. (หล่อนจะไม่กำลังเล่นเทนนิสอยู่)


หลักการใช้ Future Progressive Tense


1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นก่อนหลังกันในอนาคต ดังนี้
-
เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Future Progressive Tense
-
เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้ Present Simple Tense เช่น

1. He will be reading when I visit him. (
เขาจะอ่านหนังสืออยู่เมื่อผมไปเยี่ยมเขา)
Future Perfect Tense
ประโยค Future Perfect Tense เชิงบอกเล่า โครงสร้าง: Subject + will, shall + have + V.3
(
ประธาน + will, shall + have + กริยาช่อง 3)ตัวอย่าง: 1. She will have gone. (หล่อนคงจะไปแล้ว)

2. They will have cooked. (
เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารแล้ว)
ประโยค Future Perfect Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Perfect Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง:      Will, Shall + Subject + have + verb 3?
(Will, Shall +
ประธาน + have + กริยาช่อง 3?)ตัวอย่าง: 1. Will she have gone?

(หล่อนคงจะไปแล้ว ใช่หรือไม่)
- Yes, she will. (
ใช่ หล่อนคงจะไปแล้ว) /
No, she won't. (
ไม่ หล่อนคงจะไม่ไป)

2. Will they have cooked? (
เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารแล้วใช่หรือไม่)
- Yes, they will. (
ใช่ เขาทั้งหลายคงจะทำแล้ว) /
No, they won’t. (
ไม่ เขาทั้งหลายคงจะไม่ทำ)
ประโยค Future Perfect Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง:  Subject + will, shall + not + have + V.3
            (
ประธาน + will, shall + not + have + กริยาช่อง 3)

ตัวอย่าง: 1. She will not (won’t) have gone. (หล่อนคงจะไม่ไปแล้ว)            
หลักการใช้ Future Perfect Tense
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต ดังนี้
-
เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Future Perfect Tense
-
เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้ Present Simple Tense เช่น
1. The film will have started before we reach the theater.
(
ภาพยนตร์คงจะเริ่มฉายก่อนที่พวกเราจะไปถึง)

Future Perfect Progressive Tense
ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงบอกเล่า โครงสร้าง:       Subject + will, shall + have + been + V.1 ing
(
ประธาน+ will shall +have +been + กริยาช่อง 1 เติม ing) ตัวอย่าง:   1. She will have been playing tennis. (หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่)

2. They will have been cooking. (
เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารอยู่)
   
ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
 เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Perfect Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง:   Will, Shall + Subject + have + been + V.1 ing?
             (Will, Shall +
ประธาน + have + been + กริยาช่อง1 ติม ing)ตัวอย่าง:   1. Will she have been playing tennis ?( หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่ใช่หรือไม่ )

              - Yes, she will. (
ใช่ หล่อนคงจะเล่นอยู่) /
               No, she won’t. (
ไม่ หล่อนคงจะไม่เล่นอยู่)


ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not+ หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง:  Subject + will, shall + not +have + been +V.1 ing
            (
ประธาน + will, shall + not + have + been + กริยาช่อง 1 เติม ing)ตัวอย่าง:   1. She will not (won’t) have been playing tennis. (หล่อนคงจะไม่เล่นเทนนิสอยู่)



หลักการใช้ Future Perfect Progressive Tense


ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นก่อนหลังกันในอนาคตแต่เน้นความต่อเนื่องของการกระทำ ดังนี้
        -
เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Future Perfect Progressive Tense
        -
เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้
Present Simple Tense
               
เช่น
                1. He will have been reading for two hours when I visit him.
                (
เขาคงจะอ่านหนังสืออยู่เป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว เมื่อผมไปเยี่ยมเขา)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น